วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ระบบสื่อสารข้อมูล สำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ระบบสื่อสารข้อมูล สำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์




ความหมาย ระบบการโอนถ่ายข้อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางหรือปลายทางโดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์ โทรสาร โมเด็ม คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เครือข่ายต่างๆ ดาวเทียม ควบคุมการส่งและการไหลของข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง
องค์ประกอบระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

1.ข่าวสาร (Message) เป็นข้อมูลรูปแบบต่างๆ
2.ผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งข้อมูล (Sender)
3.สื่อหรือตัวกลาง (Media) เป็นสื่อหรือช่องทาง ที่ใช้ในการนำข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง
4.ผู้รับหรืออุปกรณ์รับข้อมูล (Receiver)
5.กฎ ข้อตกลง ระเบียบวิธีการรับส่ง(protocol)
สื่อหรือตัวกลางของระบบสื่อสารข้อมูลสำหรับคอมพิวเตอร์
1.สื่อหรือตัวกลางประเภทมีสาย
1.1 สายคู่บิดเกลียว (twisted pair) มี 2 ชนิด คือ
สายคู่บิดเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม (Unshielded Twisted Pair : UTP)
สายคู่บิดเกลียวมีฉนวนหุ้ม (Shielded Twisted Pair : STP)
1.2 สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) เป็นสื่อกลางที่มีส่วนของสายส่งข้อมูลเป็นลวดทองแดงอยู่ตรงกลาง หุ้มด้วยพลาสติก ส่วนชั้นนอกหุ้มด้วยโลหะหรือฟอยล์ถักเป็นร่างแหเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
1.3 สายใยแก้วนำแสง (Fiber-optic cable) เป็นสื่อกลางที่ใช้ส่งข้อมูลในรูปแบบของแสง
2.สื่อหรือตัวกลางประเภทไร้สาย
2.1 คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) เป็นสื่อกลางในการสื่อสารที่มีความเร็วสูงส่งข้อมูลโดยอาศัยสัญญาณไมโครเวฟซึ่งเป็นสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหมาะกับการส่งข้อมูลในพื้นที่ห่างไกลกันมากๆ หรือพื้นที่ทุรกันดาร
2.2 ดาวเทียม (Satellite) ในการส่งสัญญาณดาวเทียมนั้น จะต้องมีสถานีภาคพื้นดินคอยทำหน้าที่รับและส่งสัญญาณขึ้นไปบนดาวเทียม
2.3 แอคเซสพอยต์ (Access Point)
ความหมายเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไป และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศ รวมถึงใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ร่วมกัน

ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

1. การใช้ทรัพยากรร่วมกัน (Resources Sharing) หมายถึง การใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ร่วมกัน
2. การแชร์ไฟล์ เมื่อคอมพิวเตอร์ถูกติดตั้งเป็นระบบเน็ตเวิร์กแล้ว การใช้ไฟล์ข้อมูลร่วมกันหรือการแลกเปลี่ยนไฟล์ทำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
3. สามารถบริหารจัดการทำงานคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management)
4. สามารถทำการสื่อสารกันในเครือข่าย (Communication) ได้หลายรูปแบบ
5. มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบนเครือข่าย (Network Security)
 ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN)
2. เครือข่ายเมือง  (Metropolises Area Network :MAN)
3. เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network : WAN)
4. เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)
รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย
network topology

1.การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบัส (bus network) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องบนสายสัญญาณหลักเส้นเดียว ที่ปลายทั้งสองด้านปิดด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Terminator ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องใด เครื่องหนึ่ง เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์เครื่องใดหยุดทำงาน ก็ไม่มีผลกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย การรับส่งสัญญาณบนสายสัญญาณต้องตรวจสอบสายสัญญาณ BUS ให้ว่างก่อน จึงจะสามารถส่งสัญญาณไปบนสาย BUS ได้
2. การเชื่อต่อเครือข่ายแบบวงแหวน (ring network) การเชื่อมต่อแบบวงแหวน เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จนครบวงจร ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่ง ไปสู่เครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
3. การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบดาว (Star network)  เป็นการเชื่อมต่อสายสื่อสารจากคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องไปยังฮับ (hub) หรือ สวิตช์ (switch) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สลับสายกลางแบบจุดต่อจุดเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อ วงจรเชื่อมโยงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ติดต่อสื่อสารถึงกัน
4. เครือข่ายแบบ Hybrid เป็นการเชื่อมต่อที่ผสมผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน เช่น นำเอาเครือข่ายระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับบางหน่วยงานที่มีเครือข่ายเก่าและใหม่ให้สามารถทำงานร่วมกัน
อุปกรณ์เครือข่าย
1. ฮับ (hub) เป็นอุปกรณ์ที่ทวนและขยายสัญญาณเพื่อส่งต่อไปยังอุปกรณ์อื่นให้ได้ระยะทางที่ยาวไกลขึ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลก่อนและหลังการรับส่งและไม่มีการใช้ซอฟแวร์ใด ๆ มาเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ชนิดนี้ การติดตั้งทำได้ง่าย
2. โมเด็ม (modem) เป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาล็อก(Analog signal)ให้เป็นสัญญาณดิจิทัล (Digital Signal)และในทางกลับกันก็แปลงสัญญาณดิจิทัลให้เป็นสัญญาณอนาล็อก
3. การ์ด LAN (Network Interface Card – NIC) เป็นการ์ดสำหรับต่อเครื่องพีซีเข้ากับสาย LAN
4. สวิตช์ (Switching) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กระจายช่องทางการสื่อสารข้อมูลหลายช่องทางการสื่อสารข้อมูลหลายช่องทางในระบบเครือข่ายคล้ายHubแต่ต่างกันในเรื่องของกรทำงานและความเร็ว คือ แต่ละช่องสัญญาณ (port) จะใช้ความเร็วเป็นอิสระต่อกันตามมาตรฐานความเร็ว
5. เราท์เตอร์ (router) เป็นอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงให้เครือข่ายหลายเครือข่ายที่มีขนาดต่างกันหรือใช้มาตรฐานการส่งผ่านข้อมูล (Transmission) ต่างกันสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้
 โปรโตคอล (Protocol)
โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงที่ใช้ควบคุมการสื่อสารข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลชนิดเดียวกันซึ่งสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้เหมือนกับมนุษย์ที่ใช้ภาษาเดียวกันในการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันนั่นองค์กรที่เกี่ยวข้องได้กำหนดโปรโตคอลที่เรียกว่ามาตรฐานการจัดการระบบการเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างระบบเปิด(Open System International :OSI)
ชนิดของโปรโตคอล

1.ทีซีพีหรือไอพี (TCP/IP)
2.เอฟทีพี (FTP)
3.เอชทีทีพี (HTTP)
4.เอสเอ็มทีพี (SMTP)
5.พีโอพีทรี (POP3)

ารถ่ายโอนข้อมูล

1.การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน (Parallel transmission)
ทำได้โดยการส่งข้อมูลออกมาทีละ 1 ไบต์ หรือ 8 บิต จากอุปกรณ์ส่งไปยังอุปกรณ์รับ ตัวกลางระหว่างสองเครื่องจึงต้องมีช่องทางให้ข้อมูลเดินทางอย่างน้อย 8 ช่องทาง เพื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านโดยมากจะเป็นสายสัญญาณแบบขนาน ระยะทางของสายสัญญาณแบบขนานระหว่างสองเครื่องไม่ควรยาวเกิน 100 ฟุต
2. การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม (Serial transmission)

การถ่ายโอนข้อมูลแบบนุกรม

อาจจะแบ่งตามรูปแบบรับ-ส่ง ได้ 2 แบบคือ
1) สื่อสารทางเดียว (simplex) ข้อมูลส่งได้ทางเดียวเท่านั้น บางครั้งก็เรียกว่า การส่งทิศทางเดียว (unidirectional data bus) เช่น การส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ การกระจายเสียงของสถานีวิทยุ เป็นต้น
2) สื่อสารสองทางครึ่งอัตรา (half duplex) ข้อมูลสามารถส่งได้ทั้งสองสถานี แต่จะต้องผลัดกันส่งและผลัดกันรับ จะส่งและรับพร้อมกันไม่ได้ เช่น วิทยุสื่อสารของตำรวจ เป็นต้น3) สื่อสารสองทางเต็มอัตรา (full duplex) ทั้งสองสถานีสามารถรับและส่งได้ในเวลาเดียวกัน เช่น การสนทนาทางโทรศัพท์เป็นต้น
 ที่มา : https://amata20120813914194.wordpress.com/

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อุปกรณ์การตัดเย็บเครื่องแต่งกายในการแสดง

ลักษณะเครื่องมือและคุณสมบัติอุปกรณ์การตัดเย็บเครื่องแต่งกายในการแสดง



ในส่วนการออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับการแสดงนั้น ผู้สร้างสรรค์งานนาฏยหัตถกรรมทำหน้าที่ผลิตผลงานที่นักออกแบบคิดขึ้น เป็นผู้ช่วยที่ทำให้ความคิดของนักออกแบบกลายมาเป็นผลงานที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ สามารถใช้ได้จริงบนเวที หรือ ในการแสดงนั้นๆ  แม้ว่าผู้สร้างสรรค์จะไม่ได้ ทำหน้าที่ออกแบบฉาก อุปกรณ์ประกอบฉาก เครื่องแต่งกาย โดยตรง แต่ก็จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับผลงานที่กำลังสร้างสรรค์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการคิดจนถึงกระบวนการผลิตผลงาน เพื่อจะได้สามารถผลิตผลงานได้ตรงตามลักษณะหรือรูปแบบที่กำหนด สามารถเลือกใช้วัสดุ เทคนิคการผลิต รวมไปถึงคิดแก้ไขปัญหาวัสดุทดแทนในกรณีที่งบประมาณสร้างสรรค์ผลงานมีจำกัด อีกทั้งการใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษต่างๆในการผลิตผลงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับนักแสดง ทีมงาน และผู้ชม อย่างเช่น การเลือกใช้ผ้าหรือวัสดุที่มีคุณสมบัติทนไฟ การใช้พลาสติกแทนแก้วหรือวัสดุที่แตกหักได้ง่าย  เป็นต้น
นอกเหนือไปจากความรอบรู้เรื่องคุณสมบัติและหน้าที่ของวัสดุอุปกรณ์ในการผลิตแล้ว ผู้สร้างสรรค์ผลงานนาฏหัตถกรรมควรจะมีความรู้พื้นฐานเรื่องรูปแบบการตกแต่งเครื่องแต่งกายประเภทต่างๆ เพื่อที่จะได้เลือกนำวัสดุ อุปกรณ์เหล่านั้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสมกับประเภทของงาน ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว สามารถใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ดังนั้นในหน่วยนี้จึงขอกล่าวถึงบทบาทเครื่องแต่งกายในการแสดง ลักษณะเครื่องมือและอุปกรณ์การตัดเย็บเครื่องแต่งกายประกอบการแสดง

            การเลือกใช้เครื่องมือและอุปกรณ์การตัดเย็บเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับหน้าที่การใช้งาน นอกจากจะช่วยให้คุณภาพของชุดการแสดงออกมา สวยงาม ละเอียด ประณีตแล้ว ยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน ทำให้สามารถผลิตผลงานออกมาได้อย่างรวดเร็ว เป็นการประหยัดเวลา ประหยัดพลังงาน และยังเป็นการช่วยถนอมเครื่องมือเครื่องใช้ให้สามารถใช้งานได้นานยิ่งขึ้น

ที่มา : www.elearning.msu.ac.th/.../หน่วยที่%204%20บทบาทเครื่องแต่งกายในการแสดง

บทบาทเครื่องแต่งกายในการแสดง

บทบาทเครื่องแต่งกายในการแสดง

ความหมายของการออกแบบตกแต่งเครื่องแต่งกายในการแสดง
           การออกแบบเครื่องแต่งกายเป็นการแสดงแบบตัวอย่างของเครื่องแต่งกายเพื่อใช้ในการแสดง ซึ่งแบบตัวอย่างของเครื่องแต่งกายจะแตกต่างกันไปตามแนวคิด และความคิดสร้างสรรค์ของนักออกแบบ โดยปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของแนวคิดสร้างสรรค์ คือ ขนบธรรมเนียมประเพณี และค่านิยมของผู้คนในแต่ละยุคสมัย ในแต่ละท้องถิ่น หรืออาจเป็นการออกแบบที่ดัดแปลงมาจากเครื่องแต่งกายซึ่งกำลังได้รับความนิยมอยู่ในสมัยนั้นๆ หรือเคยได้รับความนิยมมาก่อนแล้วในอดีต โดยเป็นการออกแบบที่อาศัยการวิเคราะห์ตีความ บทละคร ตัวละคร รวมทั้งยังต้องคำนึงถึงรูปแบบการแสดง รูปร่างของนักแสดง สถานที่ที่จะใช้แสดง และวัตถุประสงค์ในการนำเสนอการแสดง เป็นหลัก
หน้าที่ของเครื่องแต่งกายสำหรับการแสดง
1. นำเสนอยุคสมัยของละครหรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในการแสดง เครื่องแต่งกายนำเสนอภาพรวมของความนิยมของผู้คนในแต่ละสมัย  เครื่องแต่งกายในแต่ละยุคก็ต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะของตน ซึ่งสามารถบ่งบอกวิถีชีวิตและค่านิยมของผู้คนในสมัยนั้นๆ เครื่องแต่งกายที่ตัวละครสวมใส่จึงสามารถแสดงเวลาที่สถานการณ์ในละครนั้นเกิดขึ้นว่าเป็นยุคสมัยใด
2. นำเสนอสถานที่ของละคร เครื่องแต่งกายแต่ละประเภทมีหน้าที่ต่างกัน เช่น เสื้อโค้ท เป็นเสื้อที่ใช้สวมใส่เมื่อต้องการออกนอกบ้านในฤดูหนาว หรือวันที่มีอากาศหนาว โดยเป็นเครื่องแต่งกายที่จำเป็นในประเทศที่มีอากาศหนาวอย่าง ทวีปยุโรป ดังนั้นเมื่อตัวละครสวมใส่เครื่องแต่งกายประเภทใด คนดูก็จะสามารถเข้าใจได้ว่ามีลักษณะอากาศเป็นอย่างไร และน่าจะตั้งอยู่ในภูมิภาคใด เป็นต้น
3. นำเสนอบุคลิกลักษณะของตัวละครเครื่องแต่งกายแสดงออกซึ่งบุคลิกลักษณะนิสัยและรสนิยมของผู้สวมใส่ 
4. นำเสนอสถานภาพของตัวละคร รูปแบบ ลักษณะ และรายละเอียดการตัดเย็บของเครื่องแต่งกายแสดงนำเสนอสถานภาพของตัวละคร ว่าตัวละครนั้นมีสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นอย่างไร  เช่น ลักษณะการแต่งกายของชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นแรงงานในอดีตต่างมีรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความแตกต่างนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และปัจจัยต่างๆ เช่น สถานการณ์ทางการเมือง ศาสนา สังคมและเศรษฐกิจ 
ลักษณะของการออกแบบเสื้อ
การออกแบบเสื้อแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1.การออกแบบในโครงสร้างของเสื้อผ้า (Structure Design) คือ การกำหนดโครงสร้าง รูปทรงและเส้นกรอบนอก ชนิดตะเข็บ ชนิดกระเป๋า สีและเนื้อผ้าที่นำมาตัดเย็บ 
2.การออกแบบเพิ่มเติมภายนอกของโครงสร้าง (Decorative Design)การนำวัสดุอื่นมาตกแต่งเพิ่มเติม เพื่อสร้างรายละเอียดและลวดลายให้กับตัวเสื้อผ้า เช่น การติดลูกไม้ กระดุม โบ พู่ เป็นต้น การตกแต่งนี้นอกจะทำเพื่อเสริมให้ตัวเสื้อมีความโดดเด่นยิ่งขึ้นแล้ว ยังพิจารณาออกแบบให้สี ขนาด และพื้นผิวสัมผัสของวัสดุตกแต่งมีความสัมพันธ์กับโครงสร้างของเสื้อ  โดยในเนื้อหาของรายวิชานาฏยหัตถกรรมจะเน้นการออกแบบเพิ่มเติมภายนอกของโครงสร้างของเครื่องแต่งกายการแสดงเป็นหลัก
วิธีการตกแต่งเสื้อ การออกแบบตกแต่งเสื้อนอกจากจะช่วยให้เสื้อผ้ามีความสวยงาม น่าสนใจและดูโดดเด่นแปลกตาแล้ว ก็ยังช่วยปกปิดส่วนบกพร่องของร่างกาย และฝีมือการตัดเย็บที่ไม่ปราณีตได้ วิธีตกแต่งเสื้อ มี 3 วิธี คือ
1.ใช้เครื่องประดับเพิ่มเติมต่างหากจากตัวเสื้อเช่น การติดเข็มกลัดดอกไม้ หรือ เข็มกลัดที่ทำจากโลหะหรือประดับด้วยเพชรพลอย
2.ทำส่วนหนึ่งส่วนใดที่เป็นโครงสร้างของเสื้อให้น่าสนใจการตกแต่งเสื้อวิธีนี้ เป็นการตกแต่งส่วนหนึ่งของแบบเสื้อ ไม่สามารถตัดหรือถอดออกได้ เช่น รูปแบบขอกปกเสื้อ กระเป๋าเสื้อ ตะเข็บ การตีเกล็ด เป็นต้น
3.ใช้วัสดุอื่นเพิ่มติดไปกับตัวเสื้อการตกแต่งเสื้อด้วยวิธีนี้ แม้ไม่มีหรือขาดหายไปก็จะไม่ทำให้แบบเสื้อเสียทรง เนื่องจากเป็นการเพิ่มรายละเอียดลงบนตัวเสื้อ เช่น การติดลูกไม้ ชายครุย โบ พู่ เป็นต้น
หลักการออกแบบตกแต่งเสื้อ
1. การตกแต่งให้สัมพันธ์กับโครงสร้างของเสื้อเพื่อไม่ให้ดูรกรุงรัง
2. การตกแต่งให้สัมพันธ์กับลักษณะปลีกย่อยและผิวสัมผัสของผ้าตัวเสื้อเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกลมกลืน
3. การตกแต่งอย่างมีเอกภาพทำให้ดูโดดเด่นและน่าสนใจกว่าการตกแต่งมากมาย หลายบริเวณ
4. การเลือกสีไม่ให้ดูขัดตา

5. ขนาดของวัสดุตกแต่งสัมพันธ์กับขนาดบริเวณที่จะตกแต่งเพื่อให้เกิดความสวยงาม กลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวเสื้อ

ที่มา : www.elearning.msu.ac.th/.../หน่วยที่%204%20บทบาทเครื่องแต่งกายในการแสดง...

5 คอสตูมสุดเก๋ต้อนรับ 'ฮัลโลวีน' !

5 คอสตูมสุดเก๋ต้อนรับ 'ฮัลโลวีน' สำหรับคนแต่งผีไม่ทันแล้ว!
1. ซอมบี้
คอสตูม: ฉีกเสื้อผ้าให้ขาดวิ่น พอกครีมให้ผิวขาวซีด โดยเอาให้ขาวกว่ารูปโปรไฟล์เฟสฯที่ชอบหลังไมค์มาชวนหารายได้เสริมผ่านเน็ต หาคอนแทคเลนส์ขาวขุ่นแบบตาดำเป็นจุดมาใส่ อย่าลืมแต้มเลือดบริเวณรอบปากเพราะซอมบี้ที่ดีต้องแดกศพ medium-rare เลือดซิบๆ ถ้าหาเลือดปลอมไม่ทันก็ซัดลาบก้อยร้านประจำก่อนเข้าผับแทนได้เลย
2. แวมไพร์
คอสตูม: ใส่ชุดนักศึกษาแบบถูกระเบียบ เสื้อเชิ้ตขาวแขนยาว ชายเสื้อเสียบเข้าในกางเกง เน้นดีเทลที่การตั้งปกเสื้อ แล้วจึงเพิ่มเติมด้วยผ้าคลุมดำยาว สำคัญที่การหาเขี้ยวปลอมมาใส่ประกอบชุด และถ้าหาเขี้ยวไม่ได้ก็เลิกความคิดจะแต่งเป็นแวมไพร์เหอะคุณเอ้ยยยย
3. มัมมี่
คอสตูม: แม้ว่ามัมมี่คือการเอาอะไรก็ได้มาพันๆรอบตัว แต่ความแตกต่างในดีเทลต่างหากที่จะทำให้คุณโดดเด่นออกมาจากมัมมี่ดาดๆที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยหลักเบสิกคือ คุณต้องหลีกเลี่ยงวัตถุดิบ 2 ชนิดที่มัมมี่ดาดๆนิยมใช้ดังนี้
1) มัมมี่เช็ดตูด หรือ การเอากระดาษเช็ดตูด(ที่ยังไม่ผ่านการใช้งาน)มาพันๆรอบตัว จัดเป็นมัมมี่ low-cost ที่สุดที่สามารถแต่งได้เลยโดยไม่ต้องเตรียมตัว เข้าร้านไปตัวเปล่า-เดินเข้าห้องน้ำ-กลับออกมาเป็นมัมมี่ได้ทันที ไม่ต้องมีการลงทุนใดๆ
2) มัมมี่กายภาพบำบัด หรือ การเอาผ้ายืดพันข้อมือข้อเท้ามาพันตามตัว อันนี้จัดเป็นมัมมี่ low-cost แบบสร้างสรรค์ เพราะอาศัยอุปกรณ์ที่ทุกคนต้องซื้อทุกครั้งที่ข้อเคล็ด(ทั้งๆที่ก็มีอันเก่าอยู่แล้วแต่ก็ยังซื้อใหม่ทุกครั้งที่เคล็ด) การเลือกใช้ผ้ายืดควรจะเลือกอันที่มีกลิ่นเคาน์เตอร์เพนน้อยหน่อย และไม่ควรใช้ผ้ายืดที่เคยพันข้อเท้ามาพันหน้าเพราะอาจทำให้สลบก่อนไปถึงร้านได้
แล้วมัมมี่ที่ดีควรใช้อะไร? - ตอบ: ผ้าดิบคือมาตรฐานที่ดีใครๆก็ใช้กัน หรือถ้าอยากเซ็กซี่ซีทรูก็ผ้ากอซบางๆสยิวๆ
4. สครีม / เจสัน / แฟรงเก็นสไตน์
คอสตูม: แบ่งได้ตามนี้
1) จะเป็นสครีมก็ไปขโมยผ้าคลุมดำจากเพื่อนในข้อ 2. ที่เตรียมไว้แต่งเป็นแวมไพร์มาใส่ อย่าลืมหามีดสั้นปลอมมาถือ เพราะถ้าถือมีดสั้นจริง การ์ดจะเอามีดนั้นเสียบคุณก่อนเดินเข้าร้าน
2) ถ้าจะเป็นเจสัน ไปหาซื้อเสื้อหนังมือสองจากจตุจักร เอาที่สภาพเหี้ยที่สุดแล้วใส่เลยโดยไม่ต้องซักเพื่อสร้างกลิ่นศพขึ้นอืดที่เหมือนจริง อย่าลืมหามีดสปาร์ต้าปลอมมาถือ เพราะถ้าถือมีดสปาร์ต้าจริง การ์ดจะเอามีดนั้นสับคุณก่อนเดินเข้าร้าน
3) ส่วนแฟรงเก้นสไตน์ถ้าหน้ากากผ่านแล้วก็ทาตัวเขียวๆไป ถ้าหาหน้ากากไม่ได้ก็เอาน๊อตเบอร์ใหญ่ๆมาแปะตรงขมับ อ่อ...อย่าเล่นกล้ามให้ล่ำมากนัก เพราะไม่งั้นจะดูเหมือน the HULK มากกว่า แฟรงเก็นสไตน์
5. ศพ หรือ ผู้ประสบอุบัติเหตุ

คอสตูม: ศพ เป็นคอสตูมที่พบเห็นบ่อยที่สุดทุกปี โดยยึดหลักการที่ง่ายที่สุดคือ เลือด! ทำยังไงก็ได้ให้มีเลือดชโลมร่างกายอยู่โดยทั่ว ประหนึ่งพึ่งประสบอุบัติเหตุตายโหงมาหมาดๆ

ที่มา : https://minimore.com/f/5-halloween-diy-costume-222

วิธีการทดสอบและคัดเลือกนักแสดง

วิธีการทดสอบและคัดเลือกนักแสดง

โดยปรกติ ผู้คัดเลือกนักแสดง casting director จะได้รับโจทย์จากทางผู้กำกับหลังจากที่ผู้กำกับได้อ่านบทจบแล้วว่ามีภาพในหัวของตัวละครไว้อย่างไร ถ้าเปรียบเทียบกับดาราซักคนคือประมาณคนไหน บทที่นำมาทดสอบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นบทจริง จะเป็นบทภาพยนตร์เรื่องใด ๆ ก็ได้ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับบุคลิกที่ต้องการจะค้นหา  และในบางครั้งผู้กำกับหรือผู้ช่วยผู้กำกับ จะช่วย casting director ในการคิดวิธีคัดเลือกนักแสดง เช่นให้ทดลองบทประมาณไหน มีอุปกรณ์ประกอบฉากเป็นอะไร  รวมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงเรื่องเพื่อทำให้นักแสดงที่มาทดสอบทำความเข้าใจบทได้ไวขึ้น
ปรกติผู้คัดเลือกนักแสดงจะประสานกับทาง modeling หรือบริษัทจัดหานักแสดง ในการส่งคนมาคัดเลือกตามบุคลิกลักษณะที่ผู้กำกับอยากได้ หรือใช้วิธีเรียกนักแสดงที่เคยร่วมงานหรือมีความคุ้นเคย และทำการทดสอบบทโดยการถ่ายวีดีโอไว้ รวมทั้งกรอกข้อมูลส่วนตัวเพิ่มเติมในการให้ผู้กำกับพิจารณา ส่วนบทรอง ๆ ลงมา ในระบบกองถ่ายภาพยนตร์มักจะใช้ทีมผู้ช่วยผู้กำกับในการคัดเลือกนักแสดง (ซึ่งปรกติเป็นความรับผิดชอบของผู้ช่วย 2 โดยมีผู้ช่วย 1 คอยควบคุมดูแล) หรือในกรณีที่ภาพยนตร์มีต้นทุนไม่สูง ผู้ช่วยผู้กำกับ 2 จะเป็น casting director ด้วย
การคัดเลือกตัวผู้แสดง
การคัดเลือกตัวผู้แสดงมี 3 วิธีคือ
1.วิธีสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว (personal-interview method) ในบรรยากาศที่สบาย ๆ ไม่เครียด casting director หรือ ผู้กำกับจะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผู้แสดงโดยทั่วไป ประสบการณ์ในการแสดง และพูดถึงบทที่มา cast ถ้าผู้แสดงได้อ่านบทแล้วก็ให้แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ หรือให้อ่านบทบาทของตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง และให้ผู้แสดงตีความหมาย วิธีการสัมภาษณ์ส่วนตัวนี้ จะใช้ต่อเมื่อต้องทำ cast ตัวละครที่ไม่มาก และได้ผ่านการกลั่นกรองผู้แสดงมาแล้วจนเหลือจำนวนที่คิดว่าจะมีคุณสมบัติเหมาะสม วิธีนี้ไม่เหมาะที่จะคัดเลือกคนจำนวนไม่มากในวงการนักแสดงอาชีพ เหมาะสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ หรือผู้กำกับและผู้คัดเลือกตัวแสดงไปทาบทามมาสัมภาษณ์เพื่อจะรู้จักให้ดีขึ้น เพื่อมอบบทบาทที่เหมาะสมให้
2.วิธีแสดงสด (improvisational approach) ถ้าผู้แสดงไม่เคยอ่านบทเรื่องนี้มาก่อน ผู้คัดเลือกตัวแสดงหรือผู้กำกับอาจสมมุติสถานการณ์บางอย่างและให้ผู้แสดงแสดงสด (improvise) หรือให้อ่านบทจากเรื่องใดเรืองหนึ่ง แล้วเปลี่ยนสถานการณ์ให้ผู้แสดงลองแสดงปฏิกริยาออกมาสด ๆ วิธีการนี้ ผู้กำกับจะสามารถเห็นความว่องไวในปฏิกริยา ความคล่องตัว ไหวพริบ และความสามารถในการแสดงออกของนักแสดงได้ชัดเจน แต่อาจไม่เหมาะสำหรับผู้สมัครที่ไม่เคยมีประสบการณ์มากหรือเขินอาย
3.วิธีคัดเลือกแบบเปิด (open audition หรือ general try-out) ผู้กำกับหรือผู้คัดเลือกนักแสดง จะให้ทุกคนผลัดกันอ่านบทและพูดคุยเกี่ยวกับตัวละคร เกี่ยวกับโครงเรื่องและแนวคิดหลัก theme ถ้าเป็นหนังเพลง อาจให้ร้องเพลง อาจให้แต่ละคนหรือทีละสองคนอ่านบทจากฉากที่เลือกไว้ อาจอ่านสลับกันเพื่อเปรียบเทียบ ในขณะที่ผู้แสดงอ่านบท ผู้กำกับจะพิจารณาความสามารถในการแสดง คุณภาพ เสียง อารมณ์ รูปร่างลักษณะ เมื่อยืนเทียบเคียงกันว่าเข้าคู่กันได้เหมาะสมหรือไม่ สีสันไปด้วยกันได้ดีเพียงไร จังหวะจะโคนในการพูดและแสดง รวมทั้งลีลาท่าทาง วิธีนี้เป็นการคัดเลือกนักแสดงเป็นกลุ่ม ๆ อาจเหมาะสำหรับการคัดเลือกนักแสดงสำหรับงานละครเวที
การกำหนดตัวผู้แสดงสำหรับบทบาทต่าง ๆ casting
ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะคัดผู้ใดออก และรับผู้ใด อาจเรียกผู้สมัครทั้งหมดมาอีกครั้งเพื่อเปรียบเทียบให้แน่ใจ ซึ่งผู้กำกับการแสดงจะต้องจำสิ่งที่ต้องการในตัวละครแต่ละตัวอย่างชัดเจนและจะต้องพิจารณาคุณสมบัติของนักแสดงในข้อต่อไปนี้คื
1.รูปร่างลักษณะโดยทั่วไป และลักษณะพิเศษ (ถ้ามี)
2.วัย
3.เพศ
4.คุณภาพของเสียงและการพูด diction

5.ลักษณะการเคลื่อนไหว sense of movement และจังหวะ rhythm

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/director-piak/2012/12/06/entry-1

ความรู้เกี่ยวกับการทำภาพยนตร์สั้น

ความรู้เกี่ยวกับการทำภาพยนตร์สั้น

บทเรียนขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์


1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research)เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียดเรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น  คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม
2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise)
หมายถึงความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นถ้า…” (what if) ตัวอย่างของ premise ตามรูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ &จูเลียตเกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้นถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ &จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือเรื่อง Titanic เป็นต้น
3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis)คือเรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือหนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็น story outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อนเขียนเป็นโครงเรื่องขยาย (treatment)
4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment)เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ในรูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลักสำคัญ (premise)  ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ
 5. บทภาพยนตร์ (screenplay)สำหรับภาพยนตร์บันเทิง หมายถึง บท (script) ซีเควนส์หลัก (master scene/sequence)หรือ ซีนาริโอ (scenario) คือ บทภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่อง บทพูด แต่มีความสมบูรณ์น้อยกว่าบทถ่ายทำ (shooting script) เป็นการเล่าเรื่องที่ได้พัฒนามาแล้วอย่างมีขั้นตอน ประกอบ ด้วยตัวละครหลักบทพูด ฉาก แอ็คชั่น ซีเควนส์ มีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้อง เช่น บทสนทนาอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษฉาก เวลา สถานที่ อยู่ชิดขอบหน้าซ้ายกระดาษ ไม่มีตัวเลขกำกับช็อต และโดยหลักทั่วไปบทภาพยนตร์หนึ่งหน้ามีความยาวหนึ่งนาที
6. บทถ่ายทำ (shooting script)คือบทภาพยนตร์ที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน บทถ่ายทำจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทภาพยนตร์ (screenplay) ได้แก่ ตำแหน่งกล้อง การเชื่อมช็อต เช่น คัท (cut) การเลือนภาพ (fade) การละลายภาพ หรือการจางซ้อนภาพ (dissolve) การกวาดภาพ (wipe) ตลอดจนการใช้ภาพพิเศษ (effect) อื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเลขลำดับช็อตกำกับเรียงตามลำดับตั้งแต่ช็อตแรกจนกระทั่งจบเรื่อง

7. บทภาพ (storyboard)คือ บทภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่อธิบายด้วยภาพ คล้ายหนังสือการ์ตูน ให้เห็นความต่อเนื่องของช็อตตลอดทั้งซีเควนส์หรือทั้งเรื่องมีคำอธิบายภาพประกอบ เสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงประกอบฉาก และเสียงพูด เป็นต้น ใช้เป็นแนวทางสำหรับการถ่ายทำ หรือใช้เป็นวิธีการคาดคะเนภาพล่วงหน้า (pre-visualizing) ก่อนการถ่ายทำว่า เมื่อถ่ายทำสำเร็จแล้ว หนังจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งบริษัทของ Walt Disney นำมาใช้กับการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนของบริษัทเป็นครั้งแรก โดยเขียนภาพ      เหตุการณ์ของแอ็คชั่นเรียงติดต่อกันบนบอร์ด เพื่อให้คนดูเข้าใจและมองเห็นเรื่องราวล่วงหน้าได้ก่อนลงมือเขียนภาพ ส่วนใหญ่บทภาพจะมีเลขที่ลำดับช็อตกำกับไว้ คำบรรยายเหตุการณ์ มุมกล้อง และอาจมีเสียงประกอบด้วย

ที่มา : https://joynaka23.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A0/

การหาสถานที่ถ่ายทำ (Location)

การหาสถานที่ถ่ายทำ (Location)



การหาสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์มีขั้นตอนดังนี้

แยกงานสถานที่จากบทและรวมกลุ่มสถานที่ การเริ่มหาสถานที่ให้นำบทมาอ่านแล้วลำดับรายชื่อสถานที่เกิดขึ้นในบท จากนั้นก็มารวมกลุ่มกันโดยคำนึงถึงกลุ่มสถานที่ ที่อยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อความสะดวก เช่น ฉากทะเล ภูเขา หมู่บ้าน ชาวประมง ร้านอาหารริมทะเล หรือบ้านไม้ ซอยแคบ ถนนลูกรัง หรือโรงภาพยนตร์ ซุปเปอร์มาเกต ร้านไอศกรีม ฯลฯ
ติดต่อสอบถาม เมื่อได้รายชื่อสถานที่แล้ว ให้ติดต่อสอบถามแหล่งต่างๆ เช่น จากเพื่อน ผู้ช่วยผู้กำกับกองถ่ายอื่น เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ตามสถานที่ต่างๆ ดูจากนิตยสารการท่องเที่ยว โปสการ์ด แผ่นพับ เพื่อให้ได้ข้อมูลขั้นต้น ไม่ใช่ออกหาสถานที่เลย เพราะจะประหยัดเวลา ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่าอาหารได้มาก
บริหารการเดินทาง การออกหาสถานที่ถ่ายทำ หากเช่ารถแล้วควรเริ่มออกแต่เช้าตรู่ บุคคลที่ไปหาไม่ควรเกิน 2 คน คือ ฝ่ายธุรกิจหนึ่ง และผู้ช่วยฝ่ายศิลป์หนึ่ง ฝ่ายธุรกิจดูแลการจัดการ เช่น ระยะทาง ค่าเช่าที่พัก การติดต่อขออนุมัติ ส่วนฝ่ายศิลปะดูความสวยงามทางศิลปะที่สอดคล้องกับบท ใช้กล้องและฟิล์มราคาถูกถ่ายภาพมุมต่างๆ ที่เห็นเหมาะ บางสถานที่ขอภาพถ่ายที่เขามีอยู่แล้ว หรือขอแผ่นพับโฆษณาก็ได้ ในขณะเดียวกันร่างแผนที่และแผนผังพื้นที่มาด้วย
นำภาพถ่ายเข้าที่ประชุม นำภาพถ่ายแผ่นพับ แผนผัง และข้อมูลที่ได้มาเพื่อเข้าที่ประชุมและคัดเลือก
ดูสถานที่จริง เมื่อคัดเลือกสถานที่ขั้นต้นได้แล้ว ขั้นต่อไปผู้กำกับ ผู้กำกับภาพ และผู้กำกับฝ่ายศิลป์ จะเดินทางไปดูสถานที่จริง จะเพิ่มเติมดัดแปลงอะไร จะวางกล้องตรงไหนจะได้ปรึกษากับตอนนี้ เบอร์โทรศัพท์ แผนที่ วันเวลาเปิดปิด เงื่อนไขการเข้าสถานที่ก็ยืนยันความแน่นอนตอนนี้


ข้อควรคำนึงในการหาสถานที่ถ่ายทำ
สถานที่ถ่ายทำที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือมีความเหมาะสมในแง่การจัดการ และมีคุณค่าทางศิลปะ
ความเหมาะสมในการจัดการ ก็คือ
ใกล้ที่ทำงาน ถ้าเป็นได้สถานที่นั้นไม่ควรไกลจากที่ทำงาน เพื่อความสะดวกหากลืมสิ่งของที่จำเป็นจะประหยัดค่าเดินทาง
มีความหลากหลาย สถานที่นั้นหากไปที่เดียวแล้วถ่ายได้หลายฉาก จะเป็นสถานที่ถ่ายทำที่ดีมาก เราจะไม่ต้องเคลื่อนย้ายกองถ่ายบ่อยๆ เช่น ไปหมู่บ้านจัดสรรก็จะได้ร้านค้า บ้าน สวนสาธารณะ โรงเรียนอนุบาล สนามเด็กเล่น สนามกอล์ฟ คลับ ห้องอาหาร สระว่ายน้ำ ถนนในหมู่บ้าน ฯลฯ จะมีความสะดวกในการถ่ายทำ เวลาจะย้ายกองถ่ายก็ย้ายกองถ่ายใกล้ๆ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายได้มาก
มีความสะดวกในการถ่ายทำ คือ มีโทรศัพท์ติดต่อ มีที่จอดรถสะดวก ห้องน้ำมีหลายห้อง มีพื้นที่ว่างสำหรับแต่งกายและแต่งหน้า มีความสูงของเพดานสำหรับติดตั้งดวงไฟ มีพื้นที่สำหรับเก็บพักอุปกรณ์ถ่ายทำ มีพื้นที่สำหรับจัดส่วนรับประทานอาหารของกองถ่าย ไม่มีเจ้าถิ่นที่คอยรบกวน
ราคาไม่แพง สถานที่ควรเก็บค่าเช่าไม่แพงนัก หากไม่เสียเลยได้ยิ่งดี เพียงแต่เสียค่าแม่บ้านทำความสะอาด หรือช่วยค่าน้ำค่าไฟบ้างเท่านั้น เช่น บ้านเพื่อน หน่วยราชการ สถานที่เพื่อการกุศล สถานที่ทำการบริการ หากแลกเปลี่ยนกับการขึ้นไตเติลให้ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย การหาสถานที่ที่ขายบริการ เช่น ร้านอาหาร ไนท์คลับ โรงแรม สวนสนุก ควรหาที่ที่เปิดกิจกรรมใหม่ๆ จะไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะกิจการเหล่านั้นจะอยู่ในช่วงประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย
ไม่มีสิ่งที่จะเสียหายง่าย ควรหาสถานที่ถ่ายทำที่จะเสี่ยงต่อการชดใช้ของเสียหายน้อยที่สุด เช่น สถานที่ที่มีของราคาแพง เช่น พรม เครื่องลายคราม เครื่องแก้ว ไม้ประดับราคาสูง เพราะหากหาย หรือเสียหายขึ้นมาจะยุ่งยากต่อการชดใช้
เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ ที่จะทำให้บันทึกเสียงไม่ได้ เช่น สถานที่มีเสียงเครื่องจักร เสียงอู่ซ่อมจักรยานยนต์ เสียงเด็กอ่อน บ้านที่เลี้ยงสุนัข ถนนที่มีรถเสียงดังวิ่งผ่าน โครงการก่อสร้าง ฯลฯ
มีความสะดวกในการจัดฉาก การจัดฉากภาพยนตร์ไม่เหมือนละครเวที มีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาทีแล้วแต่สถานการณ์ บางครั้งต้องย้ายมุมกล้อง หรือผู้กำกับนึกภาพออกมาอย่างกระทันหัน สถานที่ที่ดีควรจะมีอุปกรณ์ประกอบฉากอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ที่จะหยิบยืม นำมาจัดฉากได้ง่าย เช่น โต๊ะ ต้นไม้ กระถาง รูปภาพ แจกัน เครื่องเรือนชุดสนามที่สามารถยกมาจัดแต่งเพิ่มเติมได้ทันที

              ความเหมาะสมในแง่ศิลปะ คือ 
ถูกต้องตามข้อเท็จจริง สถานที่นั้นจะต้องสมจริงตรงตามบท ไม่มีจุดอ่อนที่จะจับผิดได้ สอดคล้องกับรูปแบบ และยุคสมัยตามท้องเรื่อง
ได้บรรยากาศและความรู้สึก สถานที่จะต้องมีบรรยากาศ มีโครงสีให้ความรู้สึกที่ดี เช่น ในบทบอกว่าชาวนากำลังมีความรัก ก็จะเป็นท้องนาเหลืองอร่าม น้ำเปี่ยมคลอง หรือในบทบอกว่านางเอกเดินเศร้าคิดถึงพระเอก ก็ควรจะเป็นฉากที่พื้นสีเทา (ลานดิน ลานซีเมนต์) มีเสาไฟฟ้าโดดเดี่ยว หรือมีต้นไม้แห้งใบโกร๋น หรือนางเอกอยู่ในภาวะอันตราย เช่น ทางเดินในซอกตึกแคบๆ ที่ผนังตึกบีบทำให้รู้สึกอึดอัด ดังนี้เป็นต้น โครงสีของสถานที่มีส่วนสร้างอารมณ์ความรู้สึกได้มาก สถานที่ที่มีโครงสีโทนใดโทนหนึ่ง เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ประกอบฉากก็จะต้องออกแบบสีให้มีศิลปะ เช่น นางเอกไปวัดผ่านทุ่งนาสีเขียวเหลือง เครื่องแต่งกายและร่ม อาจจะเป็นสีแดงสดใส เป็นต้น การออกแบบสีจะทำให้ภาพมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะโครงสีที่ให้อารมณ์เด่นชัด เช่น เทา ม่วง ให้อารมณ์เหงา , ชมพู เหลือง ฟ้า ให้อารมณ์สดใส
มีพื้นที่และหลืบสลับซับซ้อน สถานที่ถ่ายทำไม่ควรจะมีฉากหลังแบนที่ดูแล้วทึบตัน เช่น ถนน ตรอก ซอย ควรจะลึกสุดสายตา มุมตึกควรจะมีหลืบและซอกต่างๆ เพราะเมื่อจัดแสง ภาพจะเกิดน้ำหนักสวยงาม อีกทั้งระยะลึกจะทำให้เห็นมีสิ่งต่างๆ หลากหลาย เช่น ฉากตรอกซอยลึก เราจะได้ร้านค้า รถตุ๊กตุ๊ก กองขยะ ลังไม้ รถเข็น เด็กเล่นแบดมินตัน ซึ่งจะทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวา

มีความหมายเชิงนัยนะ การหาสถานที่ถ่ายทำในบางครั้ง อาจจะหาสถานที่ที่มีความหมายเชิงนัยยะ หมายถึง สถานที่มีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นนัยของความรู้สึก เช่น โบสถ์ที่มีเงาไม้กางเขนทาบลงบนพื้น แล้วเราใช้สถานที่นั้นในฉากที่ตัวละครตายแล้วมีเงาพาดผ่าน ทุ่งดอกไม้สีชมพู เมื่อพระเอกนางเอกพบรักกัน หรือหน้าผาสูงที่ตัวละครทะเลาะกัน จะเกิดความรู้สึกหมิ่นเหม่เหมือนจะตกหน้าผา ได้ความรู้สึกของความสัมพันธ์ขาดสะบั้นลง หรือฉากที่มีพื้นกระเบื้องยางตารางหมากรุกดำและขาวก็จะเป็นความรู้สึกขัดแย้งกัน หรือฉากเด็กเล็กที่กำลังจะถูกลักพาตัว แล้วถูกอุ้มวิ่งผ่านสวนกระบองเพชร จะทำให้ได้อารมณ์ความรู้สึกของสถานที่เหล่านี้อยู่ที่การตีความของผู้กำกับ ที่จะเลือกสถานที่ได้ความรู้สึกและความหมายทางศิลปะ

ที่มา : http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html